เซต
ใช้แทนกลุ่มของคน,สัตว์,สิ่งของ หรือสิ่งที่เราสนใจ เราใช้เครื่องหมายปีกกา“{ } ”
แสดงความเป็นเซต และสิ่งที่อยู่ภายในปีกกา เราเรียกสมาชิกของเซต
แสดงความเป็นเซต และสิ่งที่อยู่ภายในปีกกา เราเรียกสมาชิกของเซต
เซตที่เท่ากัน
เซต 2 เซตจะเท่ากันก็ต่อเมื่อจำนวนสมาชิกและสมาชิกของทั้ง 2 เซต เหมือนกันทุกตัว
เช่น A={1,2,3} B={1,2,3} จะได้ A=B
เซต 2 เซตจะเท่ากันก็ต่อเมื่อจำนวนสมาชิกและสมาชิกของทั้ง 2 เซต เหมือนกันทุกตัว
เช่น A={1,2,3} B={1,2,3} จะได้ A=B

เซตที่เทียบเท่ากัน
เซต 2 เซตจะเทียบเท่ากันก็ต่อเมื่อ จำนวนสมาชิกของทั้ง 2 เซต เท่ากัน
เช่น A={a,b,c} , B={1,2,3}
จำนวนสมาชิกของ A= จำนวนสมาชิกของ B= 3 ตัว
n( A ) = n ( B ) = 3
ดังนั้น A เทียบเท่ากับเซต B
เซต 2 เซตจะเทียบเท่ากันก็ต่อเมื่อ จำนวนสมาชิกของทั้ง 2 เซต เท่ากัน
เช่น A={a,b,c} , B={1,2,3}
จำนวนสมาชิกของ A= จำนวนสมาชิกของ B= 3 ตัว
n( A ) = n ( B ) = 3
ดังนั้น A เทียบเท่ากับเซต B

เซตจำกัด
เซตใดๆเป็นเซตจำกัดก็ต่อเมื่อ เรารู้จำนวนสมาชิกของเซตนั้นแน่นอน
เช่น A={1,2,3,…,100} จะได้ n(A)=100 A เป็นเซตจำกัด
เซตอนันต์
เซตใดๆ จะเป็นเซตอนันต์ ก็ต่อเมื่อ จำนวนสมาชิกของเซตนั้นมากจนหาค่าไม่ได้
เช่น A={1,2,3,…} จะได้ A เป็นเซตอนันต์

เซตว่าง
เซตว่าง คือ เซตที่ไม่มีสมาชิกอยู่เลย เช่น { } = 0
เซตว่าง คือ เซตที่ไม่มีสมาชิกอยู่เลย เช่น { } = 0
สัญลักษณ์ที่ใช้แทนเซตจำนวน
ใช้ R แทนจำนวนจริง
Q แทนจำนวนตรรกยะ
I แทนจำนวนเต็ม
ใช้ R แทนจำนวนจริง
Q แทนจำนวนตรรกยะ
I แทนจำนวนเต็ม

วิธีการเขียนเซต
- ใช้การแจกแจง X=1,2,3 A ={1,2,3} โดย X ⊂ A
- เขียนแบบบอกเงื่อนไขการเขียนเซตแบบกำหนดเงื่อนไขมีวิธีการเขียนดังนี้
1.เขียนวงเล็บปีกกา
2.เขียนตัวแปร
3.เขียนสัญลักษณ์ “ | ” ตามหลังตัวแปร สัญลักษณ์ตัวนี้อ่านว่า โดยที่
4.เขียนข้อความบรรยายเงื่อนไขตัวแปร ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการเป็นสมาชิกของเซตนั้น
5.เขียนวงเล็บปีกกาปิด
ตัวอย่างเช่น
A = {X | X เป็นจำนวนคู่บวกที่น้อยกว่า 10}
เมื่อเขียน A ในแบบแจกแจงสมาชิกจะได้ดังนี้
A ={2,4,6,8}
2.เขียนตัวแปร
3.เขียนสัญลักษณ์ “ | ” ตามหลังตัวแปร สัญลักษณ์ตัวนี้อ่านว่า โดยที่
4.เขียนข้อความบรรยายเงื่อนไขตัวแปร ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการเป็นสมาชิกของเซตนั้น
5.เขียนวงเล็บปีกกาปิด
ตัวอย่างเช่น
A = {X | X เป็นจำนวนคู่บวกที่น้อยกว่า 10}
เมื่อเขียน A ในแบบแจกแจงสมาชิกจะได้ดังนี้
A ={2,4,6,8}

สับเซต
ถ้าสมาชิกทุกตัวของ A เป็นสมาชิกของ B แล้ว จะเรียกว่า A เป็นสับเซตของ B จะเขียนว่า
เซต A เป็นสับเซตของเซต B แทนด้วย A ⊂ B
ถ้าสมาชิกทุกตัวของ A เป็นสมาชิกของ B แล้ว จะเรียกว่า A เป็นสับเซตของ B จะเขียนว่า
เซต A เป็นสับเซตของเซต B แทนด้วย A ⊂ B
ถ้าสมาชิกบางตัวของ A ไม่เป็นสมาชิกของ B จะเรียกว่า A ไม่เป็นสับเซตของ B
เซต A ไม่เป็นสับเซตของเซต B แทนด้วย A ⊄ B
หมายเหตุ
1. เซตทุกเซตเป็นสับเซตของตัวมันเอง (A ⊂ A)
2. เซตว่าง เป็นสับเซตของทุก ๆ เซต (ø ⊂ A)
3. ถ้า A ⊂ ø แล้ว A = ø
4. ถ้า A ⊂ B และ B ⊂ C แล้ว A ⊂ C
5. A = B ก็ต่อเมื่อ A ⊂ B และ B ⊂ A
เซต A ไม่เป็นสับเซตของเซต B แทนด้วย A ⊄ B
หมายเหตุ
1. เซตทุกเซตเป็นสับเซตของตัวมันเอง (A ⊂ A)
2. เซตว่าง เป็นสับเซตของทุก ๆ เซต (ø ⊂ A)
3. ถ้า A ⊂ ø แล้ว A = ø
4. ถ้า A ⊂ B และ B ⊂ C แล้ว A ⊂ C
5. A = B ก็ต่อเมื่อ A ⊂ B และ B ⊂ A

เพาเวอร์เซต
คำว่า เพาเวอร์เซต เป็นคำศัพท์เฉพาะ ซึ่งใช้เป็นชื่อเรียกเซตเซตหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสับเซต
เพาเวอร์เซตของ A เขียนแทนด้วย P(A)
P(A) คือเซตที่มีสับเซตทั้งหมดของ A เป็นสมาชิก
คำว่า เพาเวอร์เซต เป็นคำศัพท์เฉพาะ ซึ่งใช้เป็นชื่อเรียกเซตเซตหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสับเซต
เพาเวอร์เซตของ A เขียนแทนด้วย P(A)
P(A) คือเซตที่มีสับเซตทั้งหมดของ A เป็นสมาชิก

การดำเนินการบนเซต
ทำได้4วิธี
1.ยูเนียน (union)
2.อินเตอร์เซคชัน (intersection)
3.คอมพลีเมนท์ (complement)
4.ผลต่าง (difference)
1 ยูเนียน
A ∪ B = {x|x เป็นสมาชิกของ A หรือ x เป็นสมาชิกของ B}

2 อินเตอร์เซคชัน
A ∩ B ={x| x เป็นสมาชิกของ A และ xเป็นสมาชิกของ B}

3 คอมพลีเมนท์
A´ ={x| x เป็นสมาชิกของ U แต่ x ไม่เป็นสมาชิกของ A}

4 ผลต่าง
A-B = {x| x เป็นสมาชิกของ A แต่ไม่เป็นสมาชิกของ B }

ข้อควรรู้
ทำได้4วิธี
1.ยูเนียน (union)
2.อินเตอร์เซคชัน (intersection)
3.คอมพลีเมนท์ (complement)
4.ผลต่าง (difference)
1 ยูเนียน
A ∪ B = {x|x เป็นสมาชิกของ A หรือ x เป็นสมาชิกของ B}

2 อินเตอร์เซคชัน
A ∩ B ={x| x เป็นสมาชิกของ A และ xเป็นสมาชิกของ B}

3 คอมพลีเมนท์
A´ ={x| x เป็นสมาชิกของ U แต่ x ไม่เป็นสมาชิกของ A}

4 ผลต่าง
A-B = {x| x เป็นสมาชิกของ A แต่ไม่เป็นสมาชิกของ B }

ข้อควรรู้
- ø´ = U U´ = ø
- A – ø = A ø – A = A
การพิสูจน์การเท่ากันของเซต
ทำได้ 2 วิธี 1.ใช้แผนภาพเวนน์-ออยเลอร์
2.ใช้สมบัติการดำเนินการบนเซต
ทำได้ 2 วิธี 1.ใช้แผนภาพเวนน์-ออยเลอร์
2.ใช้สมบัติการดำเนินการบนเซต
สมบัติการดำเนินการบนเซต
สมบัติพื้นฐาน
สมบัติพื้นฐาน
- A∪∅ = A , A∪U = U
A∩∅ = ø , A∩U = U
- A∪B∪C = (A∪B)∪C = A∪(B∪C) = (A∪C)∪B
A∩B∩C = (A∩B)∩C = A∩(B∩C) = (A∩C)∩B
- A∪(B∩C) = (A∪B)∩(A∪C)
A∩(B∪C) = (A ∩B)∪(A∩C)
- (A´)´ = A (A∪B)´ = A´∩B´
(A∩B) ´ = A´∪B´
- A-B = A∩B´
เพิ่มเติม
A ⊂ B แล้ว 1. A – B = ø
2. A∩B = A
3. A∪B = B
A ⊂ B แล้ว 1. A – B = ø
2. A∩B = A
3. A∪B = B
การหาจำนวนเซตแบบประยุกต์
1) กำหนด n(A) = n , n(B) = m โดยที่ A ⊂ B
จำนวนเซต X ซึ่ง A ⊂ X ⊂ B = 2 n(B) – n(A) = 2 m – n เซต
2) กำหนด n(A) = n , n(B) = m โดยที่ A ⊂ B
จำนวนเซต X ซึ่ง A Ë X แต่ X ⊂ B = 2 n(B) – 2 n(B) – n(A) =2 m- 2 m – n เซต
1) กำหนด n(A) = n , n(B) = m โดยที่ A ⊂ B
จำนวนเซต X ซึ่ง A ⊂ X ⊂ B = 2 n(B) – n(A) = 2 m – n เซต
2) กำหนด n(A) = n , n(B) = m โดยที่ A ⊂ B
จำนวนเซต X ซึ่ง A Ë X แต่ X ⊂ B = 2 n(B) – 2 n(B) – n(A) =2 m- 2 m – n เซต
การหาจำนวนสมาชิกของเซตจำกัด
1) 2 เซต
– n (A∪B) = n(A) + n(B) –n(A∩B)
– n [(A-B) ∪ (B-A)] = n(A) + n(B) –2[n(A∩B)]
2) 3 เซต
– n (A∪B∪C) = n(A) + n(B) +n(C)-n(A∩B) – n(A∩C) – n(B∩C) + n(A∩B∩C)
ที่มา:https://mathsetter.wordpress.com1) 2 เซต
– n (A∪B) = n(A) + n(B) –n(A∩B)
– n [(A-B) ∪ (B-A)] = n(A) + n(B) –2[n(A∩B)]
2) 3 เซต
– n (A∪B∪C) = n(A) + n(B) +n(C)-n(A∩B) – n(A∩C) – n(B∩C) + n(A∩B∩C)
เอกภพสัมพัทธ์ (Relative Universe)
เอกภพสัมพัทธ์ คือ เซตที่กำหนดขอบเขตของสิ่งที่ต้องการศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นเซตที่ใหญ่ที่สุด โดยมีข้อตกลงว่า ต่อไปจะกล่าวถึงสมาชิกของเซตนี้เท่านั้น จะไม่มีการกล่าวถึงสิ่งใดที่นอกเหนือไปจากสมาชิกของเซตที่กำหนดขึ้นนี้ โดยทั่วไปนิยมใช้สัญลักษณ์ U แทนเอกภพสัมพัทธ์
เช่น กำหนดให้ U = {1,2,3,4,5,6,7,8}
A = {1,3,5,7}
B = {2,4,8}
หรือกำหนดให้ U = {x ε I+ | 1<x<20}
A = {x ε U | x=n+3 เมื่อ n เป็นจำนสวนเต็มคี่บวก}
B = {x ε U | x=n+3 เมื่อ n เป็นจำนสวนเต็มคู่บวก}
นั่นคือทั้ง A และ B เป็นสับเซตของ U
ที่มา:http://www.tewfree.com
สับเซต (Subset)
ถ้าสมาชิกทุกตัวของ A เป็นสมาชิกของ B แล้ว จะเรียกว่า A เป็นสับเซตของ B จะเขียนว่า
เซต A เป็นสับเซตของเซต B แทนด้วย A ⊂ B
ถ้าสมาชิกบางตัวของ A ไม่เป็นสมาชิกของ B จะเรียกว่า A ไม่เป็นสับเซตของ B
เซต A ไม่เป็นสับเซตของเซต B แทนด้วย A ⊄ B
เซต A เป็นสับเซตของเซต B แทนด้วย A ⊂ B
เซต A ไม่เป็นสับเซตของเซต B แทนด้วย A ⊄ B
สมบัติของสับเซต
1) A ⊂ A (เซตทุกเซตเป็นสับเซตของตัวมันเอง)
2) A ⊂ U (เซตทุกเซตเป็นสับเซตของเอกภพสัมพัทธ์)
3) ø ⊂ A (เซตว่างเป็นสับเซตของทุกๆ เซต)
4) ถ้า A ⊂ ø แล้ว A = ø
5) ถ้า A ⊂ B และ B ⊂ C แล้ว A ⊂ C (สมบัติการถ่ายทอด)
6) A = B ก็ต่อเมื่อ A ⊂ B และ B ⊂ A
7) ถ้า A มีจำนวนสมาชิก n ตัว สับเซตของเซตจะมีทั้งสิ้น 2n สับเซต
สับเซตแท้
นิยาม A เป็นสับเซตแท้ของ B ก็ต่อเมื่อ A⊂B และ A ≠ B
ตัวอย่าง กำหนดให้ A = { a , b , c } จงหาสับเซตแท้ทั้งหมดของ A
วิธีทำ สับเซตแท้ของ A ได้แก่
ø, {a} , {b} ,{c} , {a,b} , {a ,c} , {b,c}
มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 7 สับเซต
หมายเหตุ ถ้า A มีจำนวนสมาชิก n ตัว สับเซตแท้ของเซตA จะมีทั้งสิ้น 2n –1 สับเซต
เพาเวอร์เซต (Power Set)
คำว่า เพาเวอร์เซต เป็นคำศัพท์เฉพาะ ซึ่งใช้เป็นชื่อเรียกเซตเซตหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสับเซต
เพาเวอร์เซตของ A เขียนแทนด้วย P(A)
P(A) คือเซตที่มีสับเซตทั้งหมดของ A เป็นสมาชิก
สมบัติของเพาเวอร์เซต
ให้ A , B เป็นเซตใดๆ
1) ø ⊂ P(A)
2) A ⊂ P(A)
3) P(A) ≠ ø
4) P(A) ⊂ P(B) ก็ต่อเมื่อ A ⊂ B
5) ถ้า A มีสมาชิก n ตัว P(A) จะมีสมาชิก 2n ตัว
ที่มา:http://www.tewfree.com
ยูเนียน อินเตอร์เซกชันและคอมพลีเมนต์ของเซต
ยูเนียน (Union)
บทนิยาม
เซต A ยูเนียนกับเซต B คือเซตซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นสมาชิกของเซต A หรือ เซต B หรือทั้ง A และ B สามารถเขียนแทนได้ด้วย สัญลักษณ์ A ∪ B
ตัวอย่างเช่น A ={1,2,3}
B= {3,4,5}
∴ A ∪ B = {1,2,3,4,5}
อินเตอร์เซกชัน (Intersection)
บทนิยาม
เซต A อินเตอร์เซกชันเซต B คือ เซตซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นสมาชิกของเซต A และเซต B สามารถเขียนแทนได้ด้วยสัญลักษณ์ A ∩ B
ตัวอย่างเช่น A ={1,2,3}
B= {3,4,5}
∴A ∩ B = {3}
คอมพลีเมนต์ (Complements)
บทนิยาม
ถ้าเซต A ใดๆ ในเอกภพสัมพัทธ์ U แล้วคอมพลีเมนต์ของเซต A คือ เซตที่ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นสมาชิกของ U แต่ไม่เป็นสมาชิกของ A สามารถเขียนแทนได้ด้วยสัญลักษณ์ A'
ตัวอย่างเช่น U = {1,2,3,4,5}
A ={1,2,3}
∴A' = {4,5}
ผลต่าง (Difference)
บทนิยาม
ถ้าเซต A และ B เป็นเซตใดๆในเอกภพสัมพัทธ์ u เดียวกันแล้ว ผลต่างของเซต A และ B คือ เซตซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นสมาชิกของเซต A แต่ไม่เป็นสมาชิกของเซต B สามารถเขียนแทนได้ด้วยสัญลักษณ์ A - B
ตัวอย่างเช่น A ={1,2,3}
B= {3,4,5}
∴A - B = {1,2}
ที่มา:https://sites.google.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น